น้ำด่าง - น้ำอัลคาไลน์ - Alkaline Water

น้ำด่าง หรือ น้ำอัลคาไลน์ (Alkaline Water) คืออะไร

น้ำที่มีคุณสมบัติความเป็นด่าง หรือที่เรียกว่า น้ำอัลคาไลน์ (Alkaline Water) เป็นน้ำที่มีค่า pH ค่อนไปทางด่างอ่อนๆ หรือน้ำที่มีค่า pH มากกว่า 7 ซึ่งมักพบว่าเป็นคุณสมบัติของน้ำแร่ที่พบตามแหล่งธรรมชาติบริสุทธิ์ เช่นน้ำตกที่มาจากภูเขาสูง หรือผ่านกระบวนการกรองน้ำจากเครื่องกรองน้ำที่มีหินแร่ธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ นอกจากนั้นความเป็นด่างในอาหารที่ดื่มกินกัน ก็ยังพบได้ในอาหารจำพวกพืช ผัก ผลไม้ เช่น ปวยเล้ง, บล็อคโคลี่, พริกหยวก, คื่นฉ่าย น้ำด่าง หรือน้ำอัลคาไลน์สามารถช่วยปรับสมดุลสภาพความเป็นกรด-ด่างในร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถต่อต้านโรคภัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

น้ำอัลคาไลน์ น้ำดื่มเพื่อสุขภาพ… น้ำดื่มสะอาดเพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย
โดยปกติแล้วร่างกายของเรา จะมีความเป็นกรดมากกว่าความเป็นด่าง เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มากเกินความพอดี เช่น เนื้อสัตว์ กาแฟ ของหมักดอง แอลกอฮอล์ ฯลฯ รวมถึงความเครียด มลพิษต่างๆ ซึ่งความเป็นกรดนี้ เป็นสาเหตุของโรคแห่งความเสื่อมหลายชนิด
ร่างกายของเรานั้นประกอบด้วยน้ำมากถึง 75% ต้องการน้ำอย่างน้อยวันละ 8 -10 แก้ว เพื่อรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ให้ทำงานได้อย่างปกติ การเลือกน้ำดื่มสะอาดและปลอดภัย จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และปราศจากโรคภัยต่างๆ
เลือด มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 914% ดังนั้นถ้าในแต่ละวันไม่ดื่ม หรือ ดื่มน้ำไม่เพียงพอ น้ำเลือดก็จะข้นเป็นโคลน หัวใจก็ทำงานหนัก เป็นสาเหตุอันดับแรกของโรคหัวใจวายเลยล่ะค่ะ
การดื่มน้ำที่มีความเป็นด่างเหมาะสมเป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแห่งความเสื่อมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มโรค NCDs

health-benefits-of-drinking-alkaline-water

ประโยชน์ของน้ำด่าง หรือ น้ำอัลคาไลน์ (Alkaline Water)

ประโยชน์ของน้ำด่าง หรือ น้ำอัลคาไลน์ (Alkaline Water)

1. ปรับสมดุลค่า pH ของกรดในร่างกาย (Neutralize Balance) น้ำอัลคาไลน์สามารถเข้าไปปรับสมดุลเป็นกรดในร่างกายที่เกิดจากความเครียด กังวล อาหารจานด่วน น้ำอัดลม กาแฟ เหล้า บุหรี่ มลพิษต่างๆ ผลวิจัยโดย ดร.โรเบิตท์ โอ ยัง ผู้เขียนหนังสือ “The pH Miracle for Weight loss” กล่าวว่า “ร่างกายจะสร้างเซลล์ไขมันเพื่อจะดักจับและสมดุลกรดเกินในร่างกาย” และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เราอ้วนและมีไขมันส่วนเกิน ดังนั้นการดื่มน้ำอัลคาไลน์จะช่วยปรับสมดุลกรดเกินในร่างกาย
นอกจากนั้นยังช่วยให้กระเพาะอาหารผลิตน้ำย่อยที่มีความเป็นกรดสูงแต่ตรงกันข้ามกันร่างกายก็จะผลิต bicarbonates ซึ่งมีความเป็นด่างสูง ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ซึ่งจะเป็นผลดีในการสมดุลกรดในร่างกายเป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรดื่มน้ำนี้ทันทีหลังจากที่เพิ่งรับประทานอาหารอิ่มเพราะจะทำให้ลดความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารจะทำให้ลดความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะ

2. น้ำอัลคาไลน์ช่วยต้านอนุมูลอิสระและชะลอวัย (Anti-Oxidant and Anti-Aging) โดยน้ำอัลคาไลน์จะมีประจุลบสูงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีเยี่ยม ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์ และดีเอ็นเอในร่างกายอย่างดี การเสื่อมของวัย การเกิดโรคของความเสื่อมต่างๆ เช่น โรคกระดูกพรุน ไขข้อ ผิวหนัง เกิดมาจากการถูกทำลายของเซลล์ในร่างกายโดยกรดของเสียจากการเผาผลาญอาหารและสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ดังนั้นการดื่มน้ำอัลคาไลน์จะช่วยสมดุลกรดของเสียในร่างกาย ยังช่วยกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ เหมาะสำหรับผู้ป่วย โรคร้าย และการแก่ก่อนวันอันควรอีกด้วย

3. น้ำอัลคาไลน์มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำให้สามารถละลายแร่ธาตุที่มีประโยชน์ออกจากอาหารได้ดีขึ้น และสามารถซึมเข้าสู่เซลล์ของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังการออกกำลังกายซึ่งจะช่วยเติมน้ำที่ขาดหายไปได้อย่างรวดเร็ว กำจัดความอ่อนเพลียเมื่อยล้า เพราะแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากมาย เช่น แคลเซี่ยม แมกนีเซียม และโปตัสเซียม จะซึมเข้าสู่เซลล์ของร่างกายได้รวดเร็ว

NSF_WQA_Water_Purifier

ทำความรู้จักมาตรฐานน้ำดื่ม NSF และ WQA ในเครื่องกรองน้ำและตู้กดน้ำดื่ม

NSF ย่อมาจาก National Science Foundation

WQA ย่อมาจาก Water Quality Association

ทั้งสองเป็นองค์กรหลักเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของน้ำดื่ม นอกเหนือจาก UL (Underwriters Laboratories) และ ANSI (American National Standards Institute) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานใกล้ชิดกับ NSF เพื่อพัฒนามาตรฐานน้ำดื่มให้ปลอดภัยสูงสุด

NSF หรือ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี 2493 ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย วัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนงานวิจัยและงานด้านการศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ มีการกำหนดมาตรฐานการทดสอบร่วมกับสถาบัน ANSI เช่น ANSI/NSF 42 ที่ครอบคลุมมากที่สุด เพื่อลดระดับสารปนเปื้อนในน้ำดื่ม เนื่องจากค่าปนเปื้อนในน้ำมีเพิ่มมากขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ การกำหนดมาตรฐานจึงต้องปรับปรุงตลอดเวลา NSF ให้การรับรองคุณภาพของน้ำโดยอ้างอิงมาตรฐานของ ANSI เป็นหลัก คณะกรรมการของ NSF ประกอบด้วยตัวแทนจากผู้ผลิต ผู้บริโภค เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันร่างกฎเกณฑ์และพัฒนาคุณภาพของน้ำ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เนื่องจากเป็นหน่วยงานอิสระที่เป็นกลาง

WQA หรือ สมาคมคุณภาพน้ำดื่ม เป็นหน่วยงานภาคเอกชน ใช้มาตรฐานที่กำหนดโดยผู้ผลิต ครอบคลุมมาตรฐานการทดสอบ การจำหน่ายและบริการ มีสมาชิกเป็นผู้ร่างระเบียบและกฎเกณฑ์ ให้การรับรองมาตรฐานที่เกี่ยวกับการผลิต การติดตั้ง การขาย เป็นต้น ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้บริโภคและผู้ผลิต ตั้งมาตรฐานโกลด์ซีลให้กับผลิตภัณฑ์ที่สามารถลดปริมาณสิ่งปนเปื้อน ใช้วัสดุที่มีความคงทนและปลอดภัย เป็นมาตรฐานความปลอดภัยกว้างๆ ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนและลงลึก

ความแตกต่างที่เด่นชัด คือ NSF ให้ความสำคัญเกี่ยวกับรายละเอียดและวัตถุดิบของวัสดุของเครื่องกรองน้ำหรือตู้กดน้ำดื่มทุกชนิดที่สัมผัสกับน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่า ไม่มีสิ่งปนเปื้อนที่เป็นพิษ

ส่วน WQA ไม่มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสิ่งปนเปื้อนที่มีผลต่อสุขภาพ เนื่องจากไม่ได้กำหนดค่าสูงสุดของสิ่งปนเปื้อนในน้ำ หรือ Maximum Contamination Level (MCL) ในขณะที่ NSF ได้กำหนดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับค่าสูงสุดของสิ่งปนเปื้อนในน้ำ หรือ Maximum Contamination Level (MCL)

นอกจากนี้ มาตรฐาน WQA S-300 ยังไม่ได้พูดถึงสิ่งปนเปื้อนในน้ำดื่มที่เป็นสารโลหะหนัก สารเคมี และสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพ ในขณะที่ NSF กล่าวถึงในมาตรฐาน ANSI/NSF 58 เช่น แบเรียม แคดเมียม เฮกซ่าวาเลนท์โครเมียม ไตรวาเลนท์โครเมียม ทองแดง ฟลูออไรด์ ตะกั่ว ปรอท ไนเตรทผสมไนไทรท์ สิ่งปนเปิ้อนอินทรีย์ 39 ชนิด แร่เรเดียม เซเลเนียม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การรับรองของ NSF สามารถเลือกรับรองเฉพาะมาตรฐานหรือหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งตามต้องการได้ ดังน้ั้น ผู้บริโภคจะต้องเรียนรู้ให้ดีว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องกรองน้ำหรือตู้กดน้ำดื่มที่ได้รับการรับรอง NSF นั้นได้รับการรับรองภายใต้หัวข้อใด เพราะมาตรฐานความปลอดภัยของแต่ละหัวข้อไม่เท่ากัน ตัวอย่างมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ครอบคลุมเรื่องสารปนเปื้อนที่เป็นอันตราย คือ ภายใต้หัวข้อ ANSI/NSF 42 หรือ 58 ส่วนในระบบอุตสาหกรรม NSF อาจรับรองเฉพาะจุด ไม่รับรองทั้งระบบก็ได้ ผู้บริโภคควรต้องตรวจสอบให้ดีว่าสถานที่ผลิตเครื่องกรองน้ำหรือตู้กดน้ำดื่มที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยทั้งหมดหรือบางจุดเท่าน้ัน และภายใต้มาตรฐานใด

น้ำดื่มระบบ Reverse Osmosis(RO) เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่

การกรองน้ำดื่มระบบ Reverse Osmosis(RO) เป็นระบบกรองน้ำซึ่งจะทำให้น้ำที่ได้มา ค่อนข้างมีความบริสุทธิ์สูง จนแทบจะเรียกว่า ไม่มีสารอะไรตกค้างอยู่เลยนอกจากน้ำเปล่าๆเท่านั้น หรือแทบจะเรียกว่ามีคุณภาพเทียบเท่าน้ำกลั่นทีเดียว ซึ่งคุณภาพนี้ ก็ขึ้นกับว่า แผ่นกรองที่นำมาใช้มีประสิทธิภาพยังไง ถ้าแผ่นกรองที่ใช้มีสภาพดี มีรูพรุนขนาดเล็ก(เชื้อจุลินทรีย์ผ่านไม่ได้) และมีการดูแลอย่างดี ก็จะให้น้ำสะอาดที่สามารถใช้บริโภคได้

ส่วนกระบวนการผลิตน้ำวิธีอื่นๆ เช่น ต้มและกรองแบบปกติ (พวกน้ำขวดที่วางขายทั่วๆไป) จะทำให้หลงเหลือสารบางอย่างที่พบได้ในน้ำทั่วๆไป เช่น Zn Ca Cl ฯลฯ ซึ่งสารที่ตกค้างเหล่านี้ ต้องมีไม่เกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้(ถ้ามากกว่านี้ จะจัดเป็นน้ำแร่) และจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคด้วย เช่น ไม่พบเชื้อจุลินทรีย์ในน้ำนั้นๆ น้ำ RO จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารน้อยกว่าน้ำปกติหรือไม่ อย่างที่บอกไปแล้วว่า น้ำแบบปกติ จะมีสารอื่นๆเจือปนอยู่ ซึ่งหลายๆตัวนั้น ก็เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น Zn Ca หรือ Fล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย การกินน้ำ RO ย่อมทำให้ร่างกายได้รับสารเหล่านี้น้อยลงครับ

แต่… ปริมาณสารเหล่านี้ในน้ำนั้น มีน้อยมากครับ (ถึงจะเป็นน้ำแร่ก็ตาม) ร่างกายของเรา ได้รับสารอาหารจากอาหารที่เรากินเข้าไปเป็นหลัก ไม่ได้รับสารอาหารจากน้ำเป็นหลักครับ ดังนั้น ถึงแม้จะกินน้ำ RO ไปนานๆ ก็ไม่มีผลต่อภาวะขาดสารอาหารแต่อย่างใด

ดื่มน้ำ RO แล้วจะทำให้ฟันผุจริงหรือ ? น้ำ RO ค่อนข้างบริสุทธิ์มาก สามารถไปกัดกร่อนบริเวณเคลือบฟันของเราได้ และอาจจะไปละลายผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันไม่แข็งแรงหรือฟันผุได้ง่าย แต่เหตุการณ์นี้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคุณได้สัมผัสกับน้ำนี้ เป็นเวลานานๆ เช่น อมน้ำไว้ในปากทั้งวัน หรือเอาฟันไปจุ่มไว้ในน้ำ RO ตลอดเวลา การกินน้ำแบบปกติ น้ำจะมีเวลาสัมผัสกับฟันน้อยมาก แล้วก็จะไหลลงสู่คอและทางเดินอาหารต่อไป น้ำที่อาจเหลืออยู่ในปาก ก็จะถูกเจือจางด้วยน้ำลายของเรา และส่วนใหญ่ก็จะไหลลงไปสู่ทางเดินอาหารเช่นกัน จึงไม่มีผลที่จะทำให้เกิดฟันผุได้ครับ

สรุปแล้ว การกินน้ำ RO ไม่ทำให้สุขภาพเราย่ำแย่ไปกว่าการกินน้ำปกติแต่อย่างใดครับ (นอกจากว่าแผ่นกรองจะไม่ดี) และการใช้น้ำ ROนี้ ก็มีมานานแล้วด้วย ที่เห็นกันมากๆ คือ การใช้เป็นน้ำกินในการเดินเรือ เขาก็จะใช้น้ำทะเล มาผ่าน RO ทำเป็นน้ำกินได้ตลอดเวลาครับ

ส่วนที่มีคนออกมาสร้างข่าวนี้ ส่วนหนึ่ง ผมเชื่อว่า เป็นการกลั่นแกล้งทางการตลาดด้วย (discredit) เพราะหากเราไปเทียบราคาของน้ำแล้ว น้ำ RO จะมีการขายที่ประมาณลิตรละ 1 บาท (แบบกดตามตู้ทั่วๆไป) ในขณะที่น้ำแบบขวด อาจจะลิตรละ 5-10 บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันถึง 5-10 เท่า หากคนหันไปใช้น้ำ RO เยอะมากขึ้น ใครที่เสียผลประโยชน์ คงทนไม่ไหว เนื่องด้วยกลไกตลาดแบบนี้ จึงต้องสร้างเรื่องมาทำลายคู่ต่อสู้ ผู้บริโภค ควรไตร่ตรองในการเชื่อด้วยครับ

ที่มา www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&date=23-03-2005&group=4&gblog=1

การดื่มน้ำเพื่อรักษาโรค

การดื่มน้ำเพื่อรักษาโรค

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง การดื่มน้ำ เมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหารเพื่อรักษา สุขภาพ ที่ดีนั้น ทุกวันนี้เป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น โดยชาวญี่ปุ่นนิยม ดื่มน้ำ ทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้า(ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพ ที่ดี

มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำ สามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถ บำบัดรักษาโรค เหล่านี้ได้ผล 100% (แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) เช่น อาการปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่าง ๆโรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตาโรคภายในสตรี โรคมะเร็ง อาการรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการปฏิบัติ

1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ ดื่มน้ำ 4 แก้ว ( 640 ซีซี )
2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่มหรือรับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
3. หลังรับประทาน อาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาทีไม่ควร ดื่มน้ำ หรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถ ดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อย ๆ ดื่มค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย ๆ จนได้ครบ 4 แก้ว

ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่อย่าค่อยเป็นค่อยไป และหายขาดได้ในที่สุดทำให้ คุณภาพชีวิต ดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ทั้งสิ้นเพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลัง ดื่มน้ำ ไปแล้วประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง

น้ำดื่ม RO กับค่ากรดด่าง pH

ความปลอดภัยของน้ำดื่ม RO กับค่ากรดด่าง pH

โดยปกติน้ำบริสุทธิ์จะมีความเป็นกลางหรือมีค่า pH= 7 (ที่อุณหภูมิ 25 °C) เมื่อน้ำมีสารอื่นเจือปนจะทำให้ค่าความเป็นกรดด่างของน้ำ(pH) เปลี่ยนไป ในธรรมชาติสารที่มีผลทำให้ค่า pH ของน้ำเปลี่ยนแปลง คือสารกลุ่มคาร์บอเนต ไบคาร์บอเนต และคาร์บอนไดออกไซด์ ในน้ำที่มีค่าความเป็นกรดด่างต่างๆ จะมีสัดส่วนของสารทั้ง 3 ชนิดนี้แตกต่างกัน และเมื่อในน้ำมีสารประกอบในกลุ่มคาร์บอเนต และไบคาร์บอเนตสูง น้ำนั้นจะมีค่า pH สูง แสดงว่ามีความเป็นด่าง แต่ถ้าสัดส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำมีสัดส่วนสูง จะทำให้ pH ของน้ำมีค่าต่ำหรือมีความเป็นกรดสูงขึ้น เนื่องมาจากคาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับน้ำเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก เมื่อน้ำผ่านระบบรีเวอสออสโมซีส เมมเบรนจะสามารถกักกั้นอนุมูลคาร์บอเนต และไบคาร์บอเนตไว้เกือบทั้งหมด ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์สามารถซึมแพร่ผ่านเมมเบรนได้ทั้งหมด จึงทำให้น้ำที่ผ่านการกรอง (permeate) มีสัดส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าปกติ จึงทำให้ pH ของน้ำที่ผ่านการกรองลดลง หรือมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น เนื่องจากสัดส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์ต่อคาร์บอเนตสูงขึ้น

ส่วนน้ำทิ้งที่ถูกเมมเบรนกักกั้นจะมีสัดส่วนของคาร์บอเนตและไบคาร์บอเนตสูง จะทำให้น้ำในส่วนนี้มีค่า pH สูงขึ้น ดังนั้นน้ำที่ผ่านการกรองในระบบรีเวอสออสโมซีสบางครั้งอาจจะมีค่า pH ต่ำกว่า 5.8 ซึ่งมีฤทธ์เป็นกรดอ่อนอันเนื่องมาจากกรดคาร์บอนิคที่เกิดจากก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าเรานำน้ำที่กรองจากระบบ RO มาดื่มโดยตรงก็จะทำให้รู้สึกแสบลิ้นเล็กน้อยคล้ายกับการดื่มน้ำโซดา ถ้าต้องการเพิ่มค่า pH ของน้ำที่กรองโดยระบบรีเวอสออสโมซีส อาจทำได้โดยการสเปรย์ (spray) น้ำให้ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในน้ำ แยกตัวไปกับอากาศ (Air Stripping) หรือ ให้น้ำที่ผ่านระบบรีเวอสออสโมซีสผ่านไส้กรองถ่านกัมมันต์ ถ่านกัมมันต์จะทำหน้าที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ จะทำให้ค่าpH สูงขึ้นได้(มีตวามเป็นกลางมากขึ้น) ซึ่งไส้กรองถ่านกัมมันต์มักจะติดตั้งมาในระบบเครื่องกรอง RO ที่ใช้ตามบ้านเรือน มักจะมีไส้กรองคาร์บอนกรองน้ำหลังผ่านเมมเบรน เรียกว่า โพสต์คาร์บอน (post carbon) ติดตั้งมาด้วยถึงอย่างไรก็ตามค่า pH ของน้ำหลังผ่านระบบรีเวอสออสโมซีสต่ำกว่าปกติ มิใช่เกิดจากการมีกรดอนินทรีย์เจือปน แต่เกิดจากการที่น้ำนี้มีปริมาณสัดส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์สูง จึงเกิดเป็นกรดคาร์บอนิค ดังนั้นถ้าจะดื่มน้ำนี้น่าจะไม่เป็นอันตราย เพราะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับน้ำโซดาที่เราดื่มกัน ดังนั้นเราคงสบายกันได้แล้วนะครับ

ที่มา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) www.tistr.or.th

วิธีเปลี่ยนแปลงถ่านปั้มจ่ายน้ำ Shurflo

วิธีเปลี่ยนถ่าน ปั้มจ่ายน้ำ Shurflo

1. ขันน็อต 2 ตัวด้านบนของตัวปั้มจ่ายน้ำ Shurflo ออก(น๊อตจะยาวประมาณ 4-5 นิ้ว)แล้วดึงฝาปั้มจ่ายน้ำออกมา

เปลี่ยนแปลงถ่านปั้มจ่ายน้ำ Shurflo

การเปลี่ยนแปลงถ่านปั้มจ่ายน้ำ Shurflo

2. เมื่อเปิดฝาออกมา จะเห็นแปลงถ่านอยู่ 2 ชิ้ัน ทำการปลี่ยนถ่าน (ในกรณีเมื่อซื้อแปลงถ่านมาอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าช่องใส่ถ่าน ให้ทำการฝนให้เล็กลงพอประมาณ ให้เข้ากับช่องใส่ถ่านได้พอดี)

การเปลี่ยนแปลงถ่านปั้มจ่ายน้ำ Shurflo

3. เมื่อเปลี่ยนเสร็จ ทำการใส่ฝาปั้มจ่ายน้ำกลับเหมือนเดิม โดยสังเกตขอบฝาปั้มจะมีช่องอยู่ 2 ช่อง สำหรับใช้ลวดแข็งๆ แหย่เข้าไปเพื่อถ่างแปลงทั้ง 2 ข้างให้เข้ากับปั้มจ่ายน้ำ (อาจจะต้องใช้ความพยายามพอสมควร)

4. สุดท้ายแล้วให้ทดสอบการทำงานของปั้มจ่ายน้ำ Shurflo (ความถี่ในการเปลี่ยนแปลงถ่าน นั้นขึ้นอยู่กับการใช้น้ำ ประมาณ 90 หน่วยขึ้นไป)